รู้จัก Wellbeing Community แนวทางสร้างพื้นที่สุขกาย สบายใจ ของการใช้ชีวิตในสังคมที่ดี

ในยุคที่ผู้คนต่างเร่งรีบใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน มุ่งแต่สร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม้ในโลกยุคใหม่จะมีเทคโนโลยีมากมายเข้ามาช่วยเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน แต่ผู้คนกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เหนื่อยล้ามากขึ้น นั่นจึงทำให้แนวคิด Wellbeing หรือการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งกายและใจ ซึ่งเป็นแนวคิดหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนของการใช้ชีวิต

ในมุมที่อยู่อาศัย การส่งเสริม Wellbeing Community หรือการสร้างชุมชนแห่งความเป็นอยู่ที่ดี กลายเป็นแนวคิดที่ถูกหยิบยกนำมาใช้ ผ่านการผสมผสานหลายๆ มิติ เพื่อสร้างสภาวะการอยู่อาศัยที่เหมาะสมให้ผู้คนในชุมชน ไม่เพียงช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ก่อให้เกิดสมดุลในการใช้ชีวิต และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับชุมชน เกิดชุมชนเข้มแข็ง โดย Wellbeing Community ที่ดี ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

1.สร้างความรู้สึกเชื่อมโยง (Connectedness) : หนึ่งในลักษณะสำคัญของ Wellbeing Community คือ ต้องเป็นพื้นที่ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างผู้คนในชุมชน ซึ่งความรู้สึกนี้นำไปสู่ Sense of Belonging ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในความเป็นมนุษย์ เพราะถ้าคนเราขาดเรื่องนี้ไป จะเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง นำไปสู่ปัญหาทางจิต และไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต

         ดังนั้นหากเจ้าของชุมชนเปิดโอกาสให้ผู้คนในชุมชนได้พบปะและร่วมมือกัน จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกเชื่อมโยง (Connectedness) และนำไปสู่การสร้าง Sense of Belonging ได้ เช่น การจัดกลุ่มออกกำลังกายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเต้นแอโรบิค การเดินออกกำลังกาย การเล่นกีฬาเป็นทีม จัดกลุ่มพูดคุยช่วยเหลือผู้ที่กำลังทุกข์ใจ หรือให้โอกาสระบายความทุกข์ ก็เป็นอีกกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพใจ หรือไปทำบุญ ตักบาตร บริจาคสิ่งของ ร่วมกันก็จะสามารถช่วยยกระดับและส่งเสริมจิตใจ ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกดีกับตัวเอง เบิกบานและภาคภูมิใจ ปลูกต้นไม้ สอนหนังสือ ร้องเพลง ซึ่งนอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว ยังส่งผลในทางบวกในมิติอื่นๆ อีกด้วย 

         นอกจากการรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมแล้ว การให้ความรู้แก่คนในชุมชนเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เช่นHealthy Living หรือ Self-Monitoring ก็สามารถสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง และยังเป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้คนในชุมชนนำไปปรับใช้ได้ เพราะ Wellbeing Community จะเกิดขึ้นได้ หากผู้คนในชุมชนเองมีความรู้เรื่องการดูแลและจัดการตนเอง

2.สร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Livability) : แม้ว่า Wellbeing Community จะมีคนในชุมชุนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แต่ในส่วนสถานที่ก็ต้องเอื้อต่อการส่งเสริม Wellbeing Community ด้วย การมีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียว ถือเป็นพื้นที่ลำดับแรกๆ ในการสร้าง Wellbeing Community เพราะเป็นพื้นที่ที่เอื้อให้เกิดการรวมกลุ่มทำกิจกรรม อีกทั้งพื้นที่สีเขียวยังทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย

ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย การสร้าง Parks and recreation มักเป็นสิ่งคู่กันและเป็นสิ่งจำเป็น การนั่งดูผู้คนมาใช้เวลาในสวนสาธารณะ มีส่วนในการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อจิตใจ

         นอกจากนี้ที่อยู่อาศัยและคนใกล้ตัวก็เป็นส่วนสำคัญ เพราะถือเป็นยูนิตแรกของการสร้าง Wellbeing Community ซึ่งผู้คนในทุกระดับต่างเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่อาศัย ไม่ใช่เพียงแค่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม แต่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับอื่นๆ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในที่อยู่อาศัยเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี เช่น การใชระบบระบายอากาศ การให้ความสำคัญกับการออกแบบให้แสงส่องถึง การสร้างพื้นที่สีเขียว และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ต่างๆ ภายในตัวบ้าน ให้เอื้อต่อสุขภาพกายและใจที่ดี โดยไม่ได้มองแค่ความสวยงามเท่านั้น 

3.ความเสมอภาค (Equity) : การอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค ก็เป็นสิ่งสำคัญของ Wellbeing Community ความแตกต่างทางสังคมของผู้คนในชุมชน อาจทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก

ดังนั้นการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง จึงเป็นรากฐานของ Wellbeing Community เพราะสิ่งที่ตามมาจากความรู้สึกเชื่อมโยง คือ การสร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในชุมชน เช่น การสนับสนุนความเสมอภาคทางเพศ LGBTQ+, การให้โอกาสผู้พิการได้แสดงออกถึงความสามารถต่างๆ, การเปิดโอกาสให้ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วม, การช่วยให้คนในชุมชนได้เข้าถึงปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาพยาบาล อาหาร ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม และ ความปลอดภัยของทรัพย์สินและผู้คนในชุมชน หรือการเปิดโอกาสให้เข้าถึงการตรวจสุขภาพอย่างเท่าเทียม ก็เป็นส่วนเสริมให้เกิด Wellbeing Community

กิจกรรม PIEAMSUK JOY GIVING HAPPY CHRISTMAS EVE ส่งมอบความสุขส่งท้ายปีให้แก่ลูกบ้านและเปิดโอกาสให้ผู้พิการทางสายตาได้มีเวทีแสดงความสามารถ รายได้จากการจัดงานมอบให้มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ

ผู้อยู่อาศัยได้อะไร? จากการสร้าง Wellbeing Community

1.        คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น : การออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาวะ เช่น พื้นที่สีเขียว ทางเดิน-ทางจักรยาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อสุขภาพ ทำให้ผู้คนมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างสมดุล

2.        สุขภาพกายและใจที่แข็งแรง : สภาพแวดล้อมที่ดีช่วยลดความเครียด กระตุ้นให้ผู้คนออกกำลังกาย และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

3.        เกิดความสัมพันธ์ในชุมชนที่แน่นแฟ้น : การออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เช่น สวนสาธารณะ โคเวิร์กกิ้งสเปซ และศูนย์กิจกรรม ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์และความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

4.        สิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ : การใช้แนวคิด Smart & Green Living เช่น อาคารประหยัดพลังงาน การจัดการขยะ และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ทำให้ชุมชนเกิดความยั่งยืน

5.        มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น : ทำเลที่ออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและสุขภาพของผู้คน มักจะได้รับความสนใจจากผู้ซื้อและนักลงทุน ส่งผลให้ราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในระยะยาว

6.        ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย : Wellbeing Community มักออกแบบให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี และการเดินทางที่สะดวก ลดมลพิษทางเสียงและอากาศ ทำให้การใช้ชีวิตมีคุณภาพ

7.        ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) : การสร้าง Wellbeing Community ที่ดีจะคำนึงถึงการมีพื้นที่ที่รองรับทั้งการทำงานและการพักผ่อน เช่น Co-Working Space, ฟิตเนส, โซนพักผ่อน ทำให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่

 โดยรวมแล้ว Wellbeing Community ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นสังคมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ซึ่งตลอดกว่า 40 ปี ของ เปี่ยมสุข ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มุ่งมั่นที่จะมอบคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ใช่แค่การส่งมอบบ้านที่ดี สังคมคุณภาพ และต้องการส่งต่อ “ความสุขที่จะให้ลูกบ้านมีอิสระที่จะเลือกความสุขในแบบของตัวเอง จึงตั้งใจจะใช้แนวทาง Wellbeing Community เพื่อส่งมอบชีวิตที่ยั่งยืนให้กับลูกบ้านและผู้อยู่อาศัย

————————————

“THE REAL HAPPINESS IS FREEDOM”
“ความสุขที่แท้จริง คือความเป็นอิสระ”

————————————

#PieamsukFamily  #เปี่ยมสุข  #Pieamsuk
#Pieamsuksustain  #เปี่ยมสุขเชื่อมสุขให้ทุกชีวิต #WellbeingCommunity